คิดแล้วไม่มีผิด สักวันคงถึงคิวสมุทรปราการ
นั้นคือการรวมตัวของชาวบ้านเมื่อ 13 กันยายน ไม่ใช่เพียงแค่เสียงสะท้อนเรื่อง “ความเป็นธรรม” ต่อการปลดนายประเทือง ตรุษจา ไวยาวัจกรวัดพิชัย ออกจากตำแหน่ง แต่กำลังสะท้อนโครงสร้างผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่หลังรั้ววัด
การที่ น.ส.ปริตตา ตรุษจา สมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ บุตรสาวอดีตไวยาวัจกร เข้ามานำการเคลื่อนไหว ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สังคมมองว่านี่ไม่ใช่แค่การ “ยืนข้างพ่อ” หากแต่เป็นการนำพลังทางการเมืองท้องถิ่นเข้ามาปะทะกับอำนาจสงฆ์หรือไม่
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เพื่อชุมชนจริงหรือเพื่อรักษาพื้นที่ผลประโยชน์ใคร เพราะการจัดการผลประโยชน์รอบวัด ทั้งค่าที่จอดรถ แผงพระ แผงค้า งานประจำปี ล้วนเป็น “ก้อนเงินสด” ที่ใครกุมได้ก็มีอำนาจต่อรองมหาศาล
อีกด้านหนึ่ง เจ้าอาวาสกลับเลือกเดินสายเข้าหา กอ.รมน. จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อขอคำปรึกษาและขอให้ทหารเข้ามาช่วย “จัดระเบียบ” อ้างเพื่อความโปร่งใสทำงานร่วมกันไม่ได้กับคนเก่า คุมไม่ได้ เอาไม่อยู่ หรือถูกจี้จากข้างบนให้รีบสร้างความกระจ่างสางปัญหา เพราะบริบทกำลังถาโถมใส่องค์กรที่มีผู้ทำตนไม่เหมาะสมกับสมณเพศที่ผู้คนนับถือทำตนเป็นอลัชชี
แต่ก็ถูกชุมชนตั้งคำถามว่า ทำไมเรื่องภายในวัดต้องให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง ?
นี่จึงไม่ใช่แค่ศึกวัด–ชุมชน แต่กลายเป็นศึกระหว่าง อำนาจการเมืองท้องถิ่น กับ อำนาจรัฐ/กองทัพ ที่ต่างอ้างว่ามาเพื่อแก้ความถูกต้อง แต่เบื้องหลังจะวัดใจได้ว่าคืออะไร
หรือการแย่งชิงสิทธิในการจัดการ “งานบุญที่เป็นทองคำ”หรือไม่ เพระครอบงำมานาน
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ งานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์และงานกาชาดประจำปี 12–23 ตุลาคม งานนี้ไม่ใช่แค่พิธีกรรมทางศาสนา แต่คือ ตลาดการค้าขนาดใหญ่ ที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล ทั้งค่าเช่าพื้นที่ ค่าไฟ ค่าจัดบูธ
ผิด ที่มองแค่คืบ
ความน่าจะเป็นคงมีอะไรที่นุ่มลึกกว่าที่เราคิด
ผู้เกี่ยวข้องบอกมีมานานและเกือบทุกพื้นที่ ต่างแค่มากน้อย
ข่าวเเว่ว ๆ ว่า กระบวนการทางกฏหมายกำลังดำเนินการกับใครบางคนอยู่
เมื่อผลประโยชน์มากมายกองอยู่ตรงหน้า การปลดไวยาวัจกรในจังหวะก่อนงานใหญ่ ย่อมถูกตีความว่าเป็นการ “เคลียร์พื้นที่” เพื่อให้ได้จัดการผลประโยชน์แบบเบ็ดเสร็จ
ชนิดยึดพื้นที่คืน ทันจังหวะ
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงการถอดถอนบุคคลหนึ่งออกจากตำแหน่ง แต่คือคำถามใหญ่ต่อสังคมว่า วัดและงานบุญถูกแปลงเป็นสมรภูมิผลประโยชน์มากแค่ไหน?
เป็นต้นโพธิ์ รากหนา ยึดแน่น แต่ไร้ประโยชน์สิ่งใกล้ชิด
วัดในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะวัดที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด ย่อมไม่ใช่เพียงศูนย์ศรัทธา แต่เป็น “ศูนย์รายได้” จากหลายช่องทาง
แผงค้า–พื้นที่เช่า ศาลา–ลานวัด กลายเป็นทำเลทองให้ผู้ค้าขายของศรัทธา
งานประเพณีใหญ่ อย่างงานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ ถือเป็น “ขุมทรัพย์” ที่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนหลาย
สาธารณูปโภค–ไฟฟ้า–บริหารจัดการ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือช่องโหว่ที่ผู้จัดการทรัพย์วัด มีสิทธิ์กำหนด–เรียกเก็บ
โครงสร้างนี้ ใครกุมอำนาจจัดการ ย่อมได้ทั้ง อิทธิพล และ ผลตอบแทน
เมื่อเจ้าอาวาสใช้อำนาจถูกตามกฎ ปลดไวยาวัจกร ด้วยข้อกล่าวหา “ ทำงานด้วยกันไม่ได้ ” กลับทำให้ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกว่า “ถูกกันออกจากเวทีการตัดสินใจ”
ฝ่ายวัดอ้างว่า เพื่อความโปร่งใสและศรัทธา
ทางชาวบ้านโต้ว่า เป็น “คำสั่งบนลงล่าง” ไม่ผ่านการมีส่วนร่วม
และที่สำคัญ หลังเกิดคดีทุจริตเงินทอนวัดหลายปีก่อน สังคมตั้งคำถามกับ “ระบบจัดการทรัพย์สินวัด” จนมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ต้องออกมาตรการใหม่
วัดทุกแห่งต้อง ทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ส่งตรวจสอบต่อ พศ. เป็นประจำ
หากไม่ปฏิบัติ เจ้าอาวาสเสี่ยง ถูกตรวจสอบตามสายการบังคับบัญชา
สูญเสียอำนาจหากระบบบัญชีเข้ม ทำให้ “รายได้ใต้โต๊ะ” หรือการจัดการแบบเดิมลดลง
หากการตรวจสอบทำงานจริง จะได้ประโยชน์ในรูปความมั่นใจ แต่หากยังอึมครึม ชุมชนก็เป็นผู้แบกรับความแตกแยก
ตัวอย่างวัดที่เจ้าอาวาสสร้างปัญหาใกล้ตัวเราสุด วัดไร่ขิ่ง วัดม่วง วัดพุทธโสธร หรืออาจจะมีอีกในพื้นที่
แต่เราไม่รู้
นี่แหละทำให้เจ้าอาวาสแต่ละวัดกลายเป็น “ผู้รับผิดชอบโดยตรง” หากปล่อยการจัดการคลุมเครือ อาจถูกโยงเข้าข่าย มาตรา 157
ทำเจ้าอาวาสถึงขนาดถึงอัตวินิบาตกรรมมาแล้ว
ผู้เสียหายจริงคือ ชุมชน ที่ถูกแบ่งขั้ว ทั้งกลุ่มที่ยืนข้างเจ้าอาวาส และกลุ่มที่ยังหนุนหลังอดีตไวยาวัจกร
เบื้องหลังนี้ยังมีมิติการเมืองท้องถิ่น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ลูกนักการเมืองท้องถิ่นบางราย มีพ่อเป็น บริกร นั่นหมายความว่า “วัด” ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากสนามการเมืองท้องถิ่นเลย
ผลประโยชน์จากแผงค้า–พื้นที่วัด อาจโยงเป็นฐานคะแนน–ทุนการเมือง
อำนาจบริหารงานวัด อาจถูกใช้เป็น “ช่องทางต่อรอง” ระหว่างพระ–นักการเมือง – ผู้มีผลประโยชน์
คำถามเชิงจึงไม่ใช่แค่ “ใครถูก–ใครผิด” แต่คือ “ ใครกำลังใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ”
ใครคือผู้ปกป้องศาสนา
และนี่คือ โจทย์ใหญ่ของสังคมไทย จะทำให้ วัดกลับมาเป็นพื้นที่ศรัทธา ที่บริหารด้วยความโปร่งใสได้อย่างไร?
จะทำอย่างไรให้ การเมืองท้องถิ่น–ผลประโยชน์รอบวัด ไม่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของชาวบ้านอย่างเรา
“ วัดเป็นของใคร? ” — ของเจ้าอาวาส, ของไวยาวัจกร, ของนักการเมือง หรือของพุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธา
ถ้าศรัทธากลายเป็นสินค้าซื้อขาย วัดก็จะไม่ใช่ศูนย์รวมจิตใจอีกต่อไป แต่เป็นเพียง “สนามประลองผลประโยชน์” ของคนบางกลุ่มเท่านั้น