วันที่ 23 เมษายน ที่สำนักงาน ป.ป.ช.จังหวัดนนทบุรี นางประภัสสร ม่วงทิพย์ นำหนังสือ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้สอบ เลขาอาชีวะ ข้องใจให้ ผอ.ได้กลับรับราชการ จากถูกบุกจับสด อัยการส่งฟ้องคดีอาญา ก่อนหน้าอดีตเลขาฯ ออกคำสั่ง พัก ให้ออกราชการไว้ก่อน
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ สั่งพักราชการและสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน คำสั่งสำนักงานอาชีวะ ที่ 584/2566 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ให้พักราชการ นายเพชรโยธิน ราษฎรเจริญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคธัญบุรี ขณะนั้น เพราะเหตุ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ความผิดฐานเรียกรับสินบนเพื่อแลกกับการตรวจรับงานจ้าง และสั่งอนุมัติจ่ายเงินค่าจ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ป.ป.ช ตำรวจ ลงพื้นที่จับกุมได้พร้อมเงินสดที่ห้องทำงาน
กระทั่งเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต ๑ ภาค ๑ ได้ยื่นฟ้องนายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ ต่อศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๑ ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนและเป็นเจ้าพนักงานปฎิหน้าที่ราชการโดยทุจริตตามมาตรา 149 และ157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งศาลได้ประทับรับฟ้องไว้แล้ว ปรากฎตามหนังสือสำนักงานอัยการคดีพิเศษฝ่ายปราบปรามการทุจริต ๑ ภาค ๑ ด่วนที่สุดที่ อส.0041(ปทภ ๑.๑)/217 ลงวันที่ 5 มีนาคม 2567แจ้งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาตามที่ร้องขอ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือ
นายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ จึงตกเป็นจำเลยคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท ๓๑/๒๕๖๗ โดยสมบูรณ์ และยังถือได้ว่าคำสั่งพักราชการยังมีผลสมบูรณ์ต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน เว้นแต่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเท่านั้น
แต่ปรากฎว่านายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาคนปัจจุบัน กลับออกคำสั่งให้นายเพชรโยธิน ราษฏร์เจริญ มาปฎิบัติราชการอีกครั้งที่วิทยาลัยเทคนิคธัญบุรี ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2567 และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 นายเพชรโยธิน ราษฏร์เจริญ ได้ปฎิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการวิทยาลัย โดยเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารสถานศึกษาตามระเบียบวาระ
วันที่ 22 มีนาคม 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ ได้ออกคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ 553/2567 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2567 อีกครั้ง ให้ย้ายและแต่งตั้งให้นายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพพระสมุทรเจดีย์ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ มีผลตั้งแต่ 1 เมษายน 2567 วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ รับเงินเดือนๆ ละ 58,430 บาท รับเงินค่าตอบแทนเดือนละ 5,600 บาท ดังรายละเอียดปรากฎตามเอกสาร
ทำให้นายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ เข้ามาปฎิบัติราชการในขณะทีถูกสั่งพักราชการ อาจได้รับสิทธิประโยชน์รับเงินเดือนและค่าตอบแทนย้อนหลัง ตั้งแต่เดือน เมษายน 2566 ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นจากเดิมเดือนละ 42,140 บาท เป็นเดือนละ 58,430 บาทและค่าตอบแทนวิทยฐานะเดือนละ 5,600 บาท โดยมิชอบด้วยระเบียบ ขัดต่อนโยบายในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการหรือไม่
อาจเป็นช่องทางให้ข้าราชการที่ไม่ดีใช้อำนาจเงิน เป็นเครื่องมือซื้อขายตำแหน่งสูงขึ้นหรือไม่ ไปสร้างอิทธิพลให้ไม่ถูกลงโทษทางวินัย ละเว้นไม่รักษากฎ ระเบียบในการบริหารงานบุคคล ทำให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง เสมือนส่งเสริมสนับสนุนให้ข้าราชการทุจริตและประพฤติมิชอบมีอำนาจและตำแหน่งหน้าที่ ในการกระทำการทุจริตกัน จนยากที่จะแก้ไขขจัดคนทุจริตและประพฤติมิชอบในที่สุด
นางประภัสสร ม่วงทิพย์ ระบุในหนังสือร้องเรียนว่า นายยศพล เวณุโกเศศ นอกจากมีความสนิทสนมกับนายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ เป็นการส่วนตัว โดยมีอดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและอดีตผู้อำนวยการสำนัก เป็นบุคคลเชื่อมโยง
และยังเคยเห็นชอบตามที่ คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ให้ความเห็นว่า ไม่มีมูลความผิดฐานรับเงินสินบนที่ถูก ตำรวจ ปปท.ป.ป.ช. บุกจับคาห้องทำงาน และเคยลงนามออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งพักราชการ ระหว่างสอบสวนวินัยร้ายแรงและสั่งให้ นายเพชรโยธิน ราษฏร์เจริญ กลับมาปฎิบัติราชการมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ขณะที่ดำรงตำแหน่งรองเลขาฯ
การจับกุมครั้งนั้น เจ้าหน้าพบเงินจำนวนหนึ่งในโต๊ะทำงาน มีการระบุของคณะกรรมการสอบสวนว่า เป็นเงินที่ นางประภัสสร บริจาคเข้ามา และครั้งนี้จึงสันนิษฐานว่าเป็นการออกคำสั่งต่างตอบแทนกันอีกครั้งหรือไม่
และให้ตรวจสอบถึงการออกคำสั่งโดยมิชอบของนายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาว่า เป็นการปฎิบัติหน้าทีโดยมิชอบโดยทุจริตหรือไม่อย่างไร
การเข้าปฎิบัติราชการระหว่างถูกคำสั่งพักราชการและพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต ๑ ภาค ๑ ได้ยื่นฟ้องนายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ ได้แจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษาทราบแล้ว มันชอบด้วยระเบียบ กฎหมายหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ถึงหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานบุคคลเป็นสำคัญ
การร้องเรียนครั้งนี้ได้เข้ายื่นหนังสือจำนวน 3 แห่งคือ สำนักงาน ป.ป.ช. ,รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ, และศูนย์รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมรัฐบาลสำนักนายกรัฐมนตรี