back to top
32.8 C
Samut Prakan
Wednesday, October 22, 2025
spot_img

ข่าวใหม่ล่าสุด

spot_img

Daily Times Online บทความทางกฎหมาย โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ เรื่อง อุทธาหรณ์จอดรถขวางรถพยาบาลอาจต้องรับผิดใน ความตายของผู้ป่วยได้ ๒๒ ต.ค ๒๕๖๘

บทความทางกฎหมาย : หลักกฎหมายและบทเรียนทางสังคมจากกรณีรถกระบะขวางทางรถพยาบาล

โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

สืบเนื่องจากข่าว “ รถกระบะจอดกีดขวางทางเข้า-ออกของรถพยาบาลฉุกเฉิน (บริเวณพื้นที่ฉุกเฉิน) ของโรงพยาบาลปลายพระยา จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยซึ่งจำเป็นจะต้องนำขึ้นรถพยาบาลเพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลกระบี่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่มีศักยภาพสูงกว่าได้ทันและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เป็นประเด็นทางสังคมที่นำมาซึ่งผลทางกฎหมายหลายประการ

ข้อเท็จจริงโดยสรุปของเหตุการณ์

ในคืนเกิดเหตุ เวลาประมาณ 23:10 น. นาย ส. อายุ 69 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและภาวะการหายใจล้มเหลว จำเป็นต้องได้รับการส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลกระบี่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่มีศักยภาพสูงกว่าอย่างเร่งด่วน

ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเคลื่อนย้ายนายสมควรฯ ซึ่งเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขึ้นรถพยาบาล พบว่ามีรถกระบะ ๔ ประตู สีน้ำตาล มาจอดปิดท้ายรถพยาบาลไว้ ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นรถได้ตามระบบที่ออกแบบไว้ เจ้าหน้าที่และญาติของผู้ป่วยได้แจ้งให้คนขับรถกระบะซึ่งพาแม่ (วัย ๖๙ ปี ที่ป่วยด้วยกรดไหลย้อน) เข้าห้องฉุกเฉินไปเลื่อนรถออก แต่คนขับรถกระบะกลับไม่ให้ความร่วมมือและยังคงโวยวาย เนื่องจากไม่พอใจที่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลมารดาของตนก่อน

การเจรจาและการอ้อนวอนจากลูกสาวของผู้ป่วยวิกฤตใช้เวลาหลายนานนาที จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องขู่ว่าจะเรียกตำรวจ คนขับกระบะจึงยอมไปเลื่อนรถออก อย่างไรก็ตาม การส่งตัวผู้ป่วยวิกฤตที่ล่าช้า และผู้ป่วยได้เสียชีวิตในที่สุด ดังนั้น ญาติผู้เสียชีวิตจึงเชื่อว่าหากไม่มีรถกระบะมาจอดขวางรถพยาบาล พ่อของตนอาจถูกนำส่งโรงพยาบาลกระบี่ซึ่งมีศักยภาพมากกว่าได้ทันและรอดชีวิต

การวิเคราะห์ความผิดตามกฎหมายอาญา :

๑.สถานะของ “โรงพยาบาล” และ “บุคลากรของโรงพยาบาล”

โรงพยาบาลปลายพระยา เป็น โรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น “พยาบาล” จึงเป็น “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และเป็น “ เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมาย

๒. ความรับผิดของ “คนขับรถกระบะ” กับ “โรงพยาบาล”

๒.๑ การที่ “เจ้าหน้าที่พยาบาล” ขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤตอันถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ได้แจ้งให้คนขับรถกระบะเลื่อนรถซึ่งจอดขวางทางรถพยาบาลออกเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตไปส่งยังโรงพยาบาลส่งต่อ แต่คนขับรถกระบะกลับไม่ยอมเลื่อนรถให้ โดยยังคงกีดขวางการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาล อันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน อันอาจเป็นความผิดฐาน “ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน”

ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘

มาตรา ๑๓๘ ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

๒.๒ นอกจากนี้ ในระหว่างเกิดเหตุคนขับรถกระบะไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะเลื่อนรถให้ แต่ยัง “เอะอะโวยวายเสียงดัง” ใส่เจ้าหน้าที่ และมีปากเสียงกับญาติผู้ป่วย อันอาจจะเป็นความผิดฐาน “ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่” ซึ่งต่อมาคนขับรถกระบะเองก็ยอมรับในภายหลังว่าตน “ขาดสติ” และมีการพูดจาโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้จะต้องพิจารณาถ้อยคำที่คนขับรถกระบะพูดโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖

มาตรา ๑๓๖ ผู้ใด “ดูหมิ่น” เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๙๓ ผู้ใด “ดูหมิ่น” ผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

๓. ความรับผิดต่อ “ญาติผู้ป่วยวิกฤต” (กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและภาวะการหายใจล้มเหลว)

การที่โรงพยาบาลปลายพระยา ส่งผู้ป่วยวิกฤต(กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและภาวะการหายใจล้มเหลว) ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลกระบี่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่มีศักยภาพมากกว่านั้น ความรวดเร็วในการส่งต่อเป็นเรื่องสำคัญ

“ ทุกนาที คือ นาทีชีวิต”

การที่ผู้ขับรถกระบะ ๔ ประตู สีน้ำตาล มาจอดปิดท้ายรถพยาบาลไว้ ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาลได้ตาม “ ระบบที่ออกแบบ” ไว้ ครั้นเมื่อเจ้าหน้าที่พยาบาลและญาติของผู้ป่วยได้แจ้งให้คนขับรถกระบะซึ่งพาแม่ (วัย ๖๙ ปี ที่ป่วยด้วยกรดไหลย้อน) เข้าห้องฉุกเฉินไปเลื่อนรถออก แต่คนขับกระบะกลับไม่ให้ความร่วมมือและยังคงโวยวาย เนื่องจากไม่พอใจที่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลมารดาของตนก่อน กว่าคนขับรถกระบะจะยอมเลื่อนรถออกให้ก็ใช้เวลานานหลายนาที เป็นเหตุให้ผู้ป่วยวิกฤตเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้ หากโรงพยาบาลกระบี่ซึ่งมีศักยภาพมากกว่าสามารถรับตัวผู้ป่วยวิกฤตรายนี้ได้ทัน ผู้ป่วยรายนี้ก็อาจจะรอดชีวิตได้

ดังนั้น (หาก) ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คนขับรถกระบะมี “เจตนา” หรือ “จงใจ” ที่จะไม่เลื่อนรถ เพื่อให้รถพยาบาลนำผู้ป่วยวิกฤตไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลกระบี่ได้ทัน โดยมีเจตนาให้ผู้ป่วยวิกฤตเสียชีวิต กรณีเช่นนี้ “อาจจะ” เป็นความผิดฐาน “ ฆ่าผู้อื่น” ก็ได้ ( ไม่ว่าจะเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลก็ตาม) ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘

แต่การที่คนขับรถกระบะ ไม่ยอมเลื่อนรถที่จอดขวางทางรถพยาบาลในทันทีที่ พยาบาลร้องขอ และญาติผู้ป่วยวิกฤติร้องขอ แต่กลับโต้เถียงส่งเสียงเอะอะโวยวาย กว่าที่คนขับรถกระบะจะยอมเลื่อนรถกระบะออกไปเพื่อให้รถพยาบาลนำส่งผู้ป่วยวิกฤตได้นั้น ใช้เวลานานหลายนาทีจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยวิกฤตส่งต่อโรงพยาบาลกระบี่ได้ทันท่วงที และผู้ป่วยวิกฤติเสียชีวิตในที่สุด

การกระทำของคนขับรถกระบะในลักษณะดังกล่าว “อาจจะ” เป็นความผิดฐาน “ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑

มาตรา ๒๙๑บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน ๑๐ ปี และปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

การกระทำโดยประมาท: หมายถึง การกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นควรจะต้องมีและใช้ความระมัดระวัง ซึ่งผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

ดังนั้น การที่คนขับรถกระบะจอดรถกีดขวางท้ายรถพยาบาล โดยไม่ทราบว่ารถพยาบาลกำลังเตรียมจะออกหรือมีผู้ป่วยฉุกเฉินรอขึ้นรถฉุกเฉินอยู่หรือไม่ และปฏิเสธการเคลื่อนย้ายรถในภาวะที่เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อาจถูกตีความว่า เป็นการกระทำที่ขาดความระมัดระวังอันเป็นวิสัยที่วิญญูชนคนทั่วไปพึงมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “พื้นที่หน้าห้องฉุกเฉิน” ของโรงพยาบาล ( ซึ่งผู้กระทำสามารถใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ด้วยการไม่จอดรถกีดขวางท้ายรถพยาบาลและ เลื่อนรถออกทันทีที่ได้รับการแจ้งหรือร้องขอว่ากีดขวางรถพยาบาล แต่ผู้กระทำหาได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นไม่ ผู้กระทำกลับจอดรถกีดขวางท้ายรถพยาบาลและไม่ยอมเลื่อนรถออกทันทีที่ได้รับการแจ้งหรือร้องขอ) อัน “อาจ” ถือได้ว่า เป็นการกระทำโดยประมาทของคนขับรถกระบะ

การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่:

ต้องพิจารณาว่า การที่คนขับรถกระบะ ไม่ยอมเลื่อนรถที่จอดขวางทางรถพยาบาลในทันทีที่พยาบาลร้องขอและญาติผู้ป่วยวิกฤติร้องขอ แต่กลับโต้เถียงส่งเสียงเอะอะโวยวาย กว่าที่คนขับรถกระบะจะยอมเลื่อนรถกระบะออกไปเพื่อให้รถพยาบาลนำส่งผู้ป่วยวิกฤตได้นั้น ใช้เวลานานหลายนาทีจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยวิกฤตส่งต่อโรงพยาบาลกระบี่ได้ทันท่วงที และผู้ป่วยวิกฤติเสียชีวิตในที่สุด ผลจากการกระทำโดยประมาทดังกล่าวนั้น เป็นเหตุให้ผู้ป่วยวิกฤตเสียชีวิตหรือไม่

หากความตายเป็นผลจากการกระทำโดยประมาทดังกล่าว คนขับรถกระบะจะต้องรับผิดในการกระทำโดยประมาทในลักษณะดังกล่าว ตามบทกฎหมายข้างต้น ซึ่งพนักงานสอบสวนจักต้องสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป

“พ่ออาจจะยังรอดชีวิต หากกระบะไม่จอดรถขวาง”

คำพูดของญาติของผู้ป่วยวิกฤต จึงเป็นประเด็นสำคัญในการพิจารณา “ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล” (Causation)

๔. ความรับผิดต่อสังคม

นอกจาก “ ความรับผิดทางอาญา” ที่ตำรวจกำลังดำเนินการออกหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและสอบปากคำชายเจ้าของรถกระบะ ยังเกิดผลกระทบทางสังคมและการจ้างงาน โดยบริษัทต้นสังกัด (CPF) ได้ยุติการจ้างงานพนักงานรายดังกล่าว เนื่องจากพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับค่านิยมและหลักการดำเนินงานขององค์กร

๕. ข้อเสนอแนะ: บทเรียนทางสังคมที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้

๕.๑ ความตระหนักถึงความสำคัญของ “เวลา” ในภาวะฉุกเฉิน

เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เวลาเพียงเสี้ยววินาที อาจเป็นตัวตัดสินชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินได้ การจอดรถขวางและปฏิเสธการเลื่อนรถทำให้การส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตล่าช้าไปหลายนาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งต่อผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน สังคมจึงตระหนักมากขึ้นว่า การขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาวะฉุกเฉินมีผลร้ายแรงถึงชีวิต

๕.๒ การให้ความสำคัญกับ “ความเป็นมนุษย์” และการร่วมมือในสถานการณ์ฉุกเฉิน

เหตุการณ์นี้เรียกร้องให้สาธารณชน คำนึงถึง “ความเป็นมนุษย์” และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แทนที่จะก่อให้เกิดการยั่วยุหรือกีดขวางการปฏิบัติงาน แม้ว่าคนขับรถกระบะจะมีความกังวลต่อมารดาของตนที่ป่วย แต่การกระทำที่ขาดสติ โดยการเอะอะโวยวายและปฏิเสธการเลื่อนรถในพื้นที่ฉุกเฉินของโรงพยาบาล ได้นำไปสู่การสูญเสียของอีกครอบครัวหนึ่ง

๕.๓ ความเข้าใจในข้อจำกัดทางเทคนิคและโครงสร้างของโรงพยาบาล

แถลงการณ์ของโรงพยาบาลปลายพระยาได้ให้ข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญแก่สาธารณะเกี่ยวกับพื้นที่หน้าห้องฉุกเฉิน:

• บริเวณที่จอดเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย

• เจ้าหน้าที่และทีมแพทย์จำเป็นต้องรักษาระดับและมุมของรถพยาบาลให้สัมพันธ์กับระบบเปลและรางล็อกที่ออกแบบไว้ เพื่อให้สามารถนำผู้ป่วยขึ้นรถได้อย่างปลอดภัย การเคลื่อนย้ายรถพยาบาลโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านโครงสร้างอาจทำให้การช่วยเหลือชะงักหรือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

๕.๔ ผลกระทบทางจริยธรรมและการจ้างงาน

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขัดขวางการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ นำมาซึ่งผลกระทบที่รุนแรงต่ออาชีพการงาน บริษัทต้นสังกัดได้ยุติการจ้างงานชายเจ้าของกระบะเนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับค่านิยมและหลักการดำเนินงานขององค์กร สิ่งนี้ส่งสัญญาณไปยังสังคมว่า การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบส่วนบุคคลในภาวะวิกฤต อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่กว่าความรับผิดทางกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว

• นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ๑.

(อดีต)รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน(คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ( สมัยที่ ๒๕)

๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๘

เพิ่มเพื่อน Line Official

spot_img

ข่าวใหม่ล่าสุด

ข่าวเด็ด ห้ามพลาด