“เครือข่ายเสียงจากป่า”เปิดเสวนาหัวข้อ “ปลาหมอคางดำ…พระเอกหรือผู้ร้าย” นักวิชาการอิสระเปิดมุมมองใหม่ต่อสิ่งมีชีวิตที่อาจถูกเข้าใจผิด แนะควบคุมปลาหมอคางดำได้คือ “กิน คุม ฟื้น”
ปัจจุบันแหล่งน้ำของประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหามลพิษจากน้ำเสีย ขยะ และการใช้สารเคมีทางการเกษตร จนสัตว์น้ำพื้นถิ่นหลายชนิดสูญหายไปจากระบบนิเวศ “ปลาหมอคางดำ” (Blackchin Tilapia; Sarotherodon melanotheron) กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงมากขึ้น—ในฐานะ “ผู้รุกล้ำ” ที่หลายคนมองว่าเป็นภัยต่อธรรมชาติ แต่จะเป็นไปได้ไหมว่า ปลาชนิดนี้ไม่ได้มาเพื่อทำลาย หากแต่อาจเป็น “พระเอกตัวจริง” ที่สะท้อนพลังของธรรมชาติในการปรับสมดุล?

ทั้งนี้ เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เครือข่าย “เสียงจากป่า”องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้เปิดเวทีเสวนาขึ้นภายใต้หัวข้อ “ปลาหมอคางดำ…พระเอกหรือผู้ร้าย” นำโดย ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่ายฯ ชวนร่วมทำความเข้าใจ “ความจริง” ของปลาชนิดนี้ในมิติทางวิทยาศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ
ลำดับแรก ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระ กรรมการวิชาการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร แสดงความคิดเห็นว่า ปลาหมอคางดำเป็นปลาชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยพบว่าในปี 2567 มีการแพร่กระจายครอบคลุม 19 จังหวัด ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อผู้ประกอบอาชีพประมง
ปัญหานี้ถูกนำไปสู่การพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร เพราะการแพร่ระบาดที่รวดเร็ว จึงเกิดการกำจัดเพื่อให้หมดไปจากแม่น้ำลำคลองและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ หรือหากกำจัดไม่ได้ ทางเลือกสุดท้ายคือการนำมาบริโภคเป็นอาหารโดยการแปรรูป หรือนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งเวลานี้ทางกรมประมงก็พยายามรณรงค์ในเรื่องนี้อยู่

ด้าน ดร.องอาจ เลาหวินิจ นักวิชาการอิสระ ซึ่งจบปริญญาเอกด้านสัตว์น้ำจากประเทศญี่ปุ่น มองว่าปลาหมอคางดำเป็นเอเลี่ยนที่มีประโยชน์ เป็นโปรตีนให้กับประชาชน สามารถอาศัยในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด ซึ่งปลาอื่นไม่สามารถอยู่ได้ และมองว่าไม่ใช่ปลาคุกคามดุร้ายน่ากลัวอย่างที่พูด สิ่งหนึ่งที่ถูกมองว่ามีผลกระทบ ก็แน่นอนว่าอะไรที่ใหม่ก็จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร อย่ามองว่าเป็นปัญหา แต่ต้องมองไปที่อนาคตว่าเราจะทำปลาหมอคางดำอย่างไรให้เป็นประโยชน์ ทำอย่างไรให้เป็นปลาเศรษฐกิจ ในอาเซียน ก็พบว่ามีปลาหมอคางดำด้วยกันทั้งนั้น
ดังนั้น ต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส อย่ามาทะเลาะกัน อย่ามาโทษกัน แต่ขอให้มองว่าทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันให้ได้ โดยใช้เศรษฐกิจเป็นเข็มทิศ และใช้ประโยชน์จากการแปรรูปให้มาก ซึ่งเชื่อได้ว่าปลาหมอคางดำไม่ใช่สัตว์ร้ายเหมือนอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ที่สำคัญ ปลาหมอคางดำไม่กินสัตว์แต่กินแต่ซากอินทรีย์ สังเกตได้จากฟันของปลามีรูปทรงใช้บดเคี้ยว ไม่ใช่ปลานักล่าอย่างที่เข้าใจกัน ส่วนในแหล่งน้ำที่คุณภาพต่ำ ปลาหมอคางดำอยู่ได้ เพราะมันอึด ทน สุดท้ายทำอย่างไร ถึงจะควบคุมปลาหมอคางดำได้ ก็คือ “กิน คุม ฟื้น”

น.ส.ทิวารัตน์ เฉลิมเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านการประมงน้ำจืด จากกรมประมง ที่มีมุมมองเชิงวิชาการต่อการระบาดของปลาหมอคางดำ นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 พบจังหวัดที่มีความชุกชุมปานกลาง จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดที่ชุกชุมน้อย จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ราชบุรี นนทบุรี นครปฐม กรุงเทพฯ สมุทรสาคร นครศรีธรรมราช และสงขลา และจังหวัดที่ไม่พบปลาหมอคางดำแล้ว จำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง และปราจีนบุรี อย่างไรก็ตาม กรมประมงยังเดินหน้าในการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ อย่างเข้มงวด พร้อมกับการบูรณาการทุกภาคส่วนในการไม่ทำผิดกฎหมาย

ส่วน ดร.สรสัณห์ อาภาภิรม อาจารย์รัฐศาสตร์ที่ผันตัวเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ ให้เหตุผลสั้นๆว่า ผมมาในฐานะประชาชน ไม่ใช่นักวิชาการ ในเชิงประจักษ์ผมไม่เคยลงพื้นที่ แต่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง สัตว์ประเภทเอเลี่ยน มีเข้ามาในไทยเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นผักตบชวา ตั๊กแตนปาทังก้า หอยเชอรี่ ปลาหมอสี หรือ อื่นๆ แต่เราก็อยู่กับมันได้มาแสนนาน เพียงแต่ควรนำมาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ เป็นอาหาร ส่งเสริมการตลาด ควบคู่กันไปกับการกำจัด สิ่งสำคัญที่อยากจะบอกว่า สัตว์มันมีประโยชน์และโทษในตัวเดียวกันทุกชนิด เพียงแต่เราจะทำอย่างไรกับมันก็เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่ายเสียงจากป่ากล่าวสรุปว่า ปลาหมอคางดำ พบว่ามีการลักลอบนำเข้ามานานมาก จากผู้ทำการค้าในกลุ่มปลาสวยงาม และเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการด้านงบประมาณที่นำมาใช้ในเรื่องนี้ของภาครัฐบางแห่ง ดังนั้นต้องควบคุมเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
ขณะเดียวกัน ยังมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการจัดการที่ยั่งยืน ว่าเพื่อควบคุมปลาหมอคางดำไม่ให้แพร่หลาย คือ การห้ามครอบครองและเคลื่อนย้ายโดยเด็ดขาด ให้สามารถอนุญาตการใช้ประโยชน์อย่างมีเงื่อนไข ภายใต้ระบบควบคุมที่เข้มงวด เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม และส่งเสริมการจับจากธรรมชาติเชิงเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้มีตลาดรับซื้อปลาหมอคางดำอย่างจริงจังในราคาที่จูงใจ โดยเฉพาะการซื้อเพื่อนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์ จะเป็นการบูรณาการมาตรการทางเศรษฐกิจเข้ากับการควบคุมทางนิเวศวิทยา การสร้างความตระหนักรู้ที่ถูกต้อง หยุดการสร้างภาพลบเพียงด้านเดียว และให้ความรู้แก่สาธารณะอย่างสมดุล
ที่สำคัญ เน้นย้ำว่าปัญหาหลักคือ การโยกย้ายโดยมนุษย์ และการปล่อยสู่ธรรมชาติ ไม่ใช่ความผิดของปลา แต่เป็นการขาดความรับผิดชอบของทุกภาคส่วน การจัดการบูรณาการ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย เช่น นักวิทยาศาสตร์ ภาครัฐบาล เกษตรกร และเอกชน โดยเน้นที่การจัดการพื้นที่เฉพาะจุดและการใช้ประโยชน์ตามศักยภาพเชิงเศรษฐกิจของปลาหมอคางดำ
ปลาหมอคางดำ ไม่ใช่เรื่องของใครผิดใครถูก แต่เป็นบทเรียนราคาแพงที่สะท้อนถึงความจำเป็นในการมีกฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพที่เข้มแข็ง และการจัดการสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างรอบด้าน โดยมองหาแนวทางแก้ไขที่ลดผลกระทบทางลบและเพิ่มศักยภาพในการใช้ประโยชน์ไปพร้อมกัน





