บทความทางกฎหมาย: “จักรวาลสีกากอล์ฟ” – ข้อหา คดี และมิติทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
กรณี “ สีกากอล์ฟ ” ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ประเด็นพระที่ตกเป็นเหยื่อล้วนแต่เป็นพระผู้ใหญ่ ที่มีสมณศักดิ์สูง แต่เธอยังได้เก็บภาพและคลิปวิดีโอที่เคยถ่ายเก็บไว้รวมกันกว่า 80,000 ภาพ ซึ่งภาพดังกล่าวสามารถบ่งบอกและเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างสีกากอล์ฟ กับ พระผู้ใหญ่จากวัดดัง ๆ และเป็นที่มาให้พระผู้ใหญ่เหล่านี้จำนนด้วยหลักฐานและต่างทยอยลาสิกขาในที่สุด
ในการลาสิกขานั้น….หากอดีตพระรูปใดมีเพียงประเด็น “ การเสพเมถุน” จะมีโทษชัดใน “ พระธรรมวินัย ” เป็น “ อาบัติปาราชิก ” ไม่สามารถกลับมาบวชได้ เท่านั้น
แต่หาก (อดีต) พระรูปใด หากตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า “ มีเส้นเงินที่โอนไปให้สีกากอล์ฟ แล้วพบว่า เป็นการ “ ยักยอกเงินวัด” ก็จะถูกดำเนินคดีอาญา ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของสีกากอล์ฟ พบมี “ เงินหมุนเวียน 385 ล้านบาท ในรอบ 3 ปี” แต่ได้มีการถอนออกไปจากบัญชีเกือบทั้งหมด คงเหลืออยู่ประมาณ 8,000 บาท และยังพบว่า “สีกากอล์ฟ” มีการนำเงินบางส่วนไป “ เล่นการพนัน (ออนไลน์)”
คดี ” สีกากอล์ฟ” เริ่มจาก “ คดีกรรโชกทรัพย์ ” พระเทพวชิรปาโมกข์ หรือ “เจ้าคุณอาชว์” อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ และขยายผลพบความเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์อีกหลายรูป
ภายหลัง พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รวบรวมพยานหลักฐานแล้วขอ “ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ” ออกหมายจับ และต่อมาสามารถควบคุมตัว “สีกากอล์ฟ” เดินทางไปขอฝากขังที่ “ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง” ในความผิดฐาน “ สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐยักยอกทรัพย์”( ยักยอกเงินวัด ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, ฐาน “ สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฯ ” ตามมาตรา 157 และ ฐาน “ สมคบฟอกเงิน” และ ฐาน “ รับของโจร ” ภายหลังตรวจพบ เส้นทางการเงินของอดีตพระเทพพัชราภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา โอนเงินจากบัญชีของวัดไปให้สีกากอล์ฟ จำนวน 3.8 แสนบาท
นอกจากนี้ ยังถูกตำรวจ “ กองบังคับการปราบปราม ” แจ้งข้อหาอีก 3 ข้อหา คือ ฐาน “ รีดเอาทรัพย์ ” และ ฐาน “ ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียเสรีภาพ” และฐาน “ ฉ้อโกง ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 , 310 และ 341 ( ตามลำดับ )
คดี “สีกากอล์ฟ” เกี่ยวข้องกับ “ ข้อหา” และ “ การดำเนินคดี ” ที่หลากหลาย :
“ การทุจริตเงินวัด ” เป็นประเด็นหลักของคดีนี้ ซึ่งมีการตั้งคำถามถึง “ ที่มาของเงิน” และ “ มาตรฐานทางกฎหมายที่ใช้ในการดำเนินคดี”
หากเงินเป็นของวัด :
เมื่อ “ เจ้าอาวาส” เป็น “ เจ้าพนักงาน” ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แล้ว
หาก “ เจ้าอาวาส” ยักยอกเงินของวัดไป ตัวเจ้าอาวาสจะมีความผิดฐาน “ เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์” และ ฐาน “ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157
มาตรา 147 บัญญัติว่า “ ผู้ใด เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุก 5-20 ปี หรือ จำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000 – 400,000 บาท
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 สิบปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วน “สีกากอล์ฟ” เมื่อไม่ได้มีฐานะเป็น “ เจ้าพนักงาน ” จึงไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 147 , มาตรา 157 ดังกล่าว แต่ “ สีกากอล์ฟ ” อาจจะมีความผิด ดังนี้
(1.) ฐาน “ สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ” ตามประมวลกฎหมายอาญา ตาม
มาตรา 147 และฐาน “ สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” มาตรา 157 ประกอบ 86
โดย “ผู้สนับสนุน” ต้องระวางโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานดังกล่าว
ทั้งนี้ “ สีกากอล์ฟ ” หรือ ผู้ที่ได้รับเงิน (ของวัด) โอนมาจาก “เจ้าอาวาส” ซึ่งเป็น เจ้าพนักงาน ตามกฎหมาย จะต้อง “ รู้ หรือ ควรจะรู้” ว่า เงินที่โอน เป็น เงินของวัด ย่อมมีความผิดฐาน “สนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์” และฐาน “ สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 147 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ซึ่งมีระวางโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานดังกล่าว ( มาตรา 147, 157 )
(2.) ฐาน “ ร่วมกันฟอกเงิน” , “ร่วมกัน สมคบกันฟอกเงิน” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 60
“ ผู้ใดกระทำการฟอกเงิน” ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
หากผู้กระทำ กระทำเพียงแค่ “ สมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน” ผู้กระทำจะรับโทษเพียงแค่ “ กึ่งหนึ่ง ” ของโทษตามมาตรา 60 ( มาตรา 9 )
แต่ถ้ามีการกระทำผิดตามที่สมคบกันดังกล่าว “ ผู้สมคบ” ต้องรับโทษเต็มตามมาตรา 60
คราวนี้มาดูกันว่า ….ความผิดฐาน “ ฟอกเงิน” คืออะไร
ตามพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา มาตรา 5 ผู้ใด
(1) โอน รับโอน หรือ เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือ ปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือ (2) กระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
(3) ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มา ครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ผู้นั้นกระทำความผิด “ ฐานฟอกเงิน ”
(3.) ฐาน “ รับของโจร ” ( รับไว้โดยรู้ว่า ทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิด ) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ( ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 )
(4.) ฐาน : เล่นการพนัน ( พนันออนไลน์ )
ความผิดตามข้อ (1) ถึง (4) “รัฐ” หรือ แผ่นดิน เป็น ผู้เสียหาย
สำหรับ “ พระ ” ที่ไม่ได้เป็น “ เจ้าอาวาส” จึงไม่มีฐานะเป็น “ เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมาย แต่หาก “พระ” รูปนั้น ยักยอกเงินของวัด ไป ก็จะเป็นความผิดฐาน “ ยักยอกทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา มาตรา 352
“ ผู้ใด ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน “ยักยอก” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่แม้ พระรูปนั้น จะไม่เป็น “ เจ้าอาวาส” จึงไม่มีฐานะเป็น “ เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมาย ก็ตาม เช่น เป็น “ผู้ช่วยเจ้าอาวาส” แต่หาก ได้รับ “มอบหมาย” ให้จัดการทรัพย์สินของวัด “ พระ” รูปนั้น ก็อาจเป็นความผิดตาม มาตรา 353 ได้
มาตรา 353 ผู้ใด ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วน “สีกากอล์ฟ” หรือ ผู้ได้รับโอนเงิน (ของวัด) จาก “ พระ” รูปนั้น ก็อาจเป็นความผิดฐาน “สนับสนุนยักยอกทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 หรือ 353 ประกอบมาตรา 86 ซึ่งจะได้รับโทษ 2 ใน 3 ของ มาตรา 352 , 353
นอกจากนี้ “ สีกากอล์ฟ ” อาจมีความผิด
(5) ฐาน “ ฉ้อโกงทรัพย์ ” :
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ( ฉ้อโกง ) : ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิด ฐาน “ ฉ้อโกง ”
โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(6) ฐาน “ รีดเอาทรัพย์ ”
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 : ผู้ใด ข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดย “ ขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ” ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน “ รีดเอาทรัพย์” ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท
(7) ฐาน “ กรรโชกทรัพย์”
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 : “ผู้ใด ข่มขืนใจผู้อื่นให้ ยอมให้ หรือ ยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน “ กรรโชก” ต้องระวางโทษ “จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน100,000 บาท”
ความผิดฐาน “ รีดเอาทรัพย์”มีองค์ประกอบความผิดเหมือนกับความผิดฐาน “ กรรโชกทรัพย์ ” แตกต่างกันเพียง ขู่เข็ญว่าจะ “ เปิดเผยความลับ” (Disclose the secret) ไม่ได้เป็นการขู่เข็ญในเรื่อง ทั่วๆ ไป
(8) ความผิดต่อเสรีภาพ ฐาน “ ข่มขืนใจ :
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 : ผู้ใด ข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อ ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของผู้อื่น หรือ โดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น
ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10843/2553
แม้เรื่องที่จำเลยนำไปขู่เข็ญ “ผู้เสียหายซึ่งเป็นภิกษุ” ว่า ผู้เสียหายมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจะ “ ไม่เป็นความจริง” จึง “ ไม่ถือเป็นความลับ” อันเป็นความผิดฐาน “รีดเอาทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 ดังที่โจทก์ฟ้องก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของผู้เสียหายผู้ถูกขู่เข็ญ จนผู้เสียหายผู้ถูกข่มขืนใจยอมใช้เงินแก่จำเลยอันเป็นความผิดฐาน “ กรรโชก ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างกันในรายละเอียดเท่านั้น มิใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณานั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐาน “กรรโชก” ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 225 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 192 วรรคสาม
ความผิดตาม (6) ถึง (8) ผู้เสียหาย คือ “ พระ” ซึ่งเป็น “ ผู้ถูกหลอก” ,“ ผู้ถูกข่มขู่ , ผู้ถูกขู่เข็ญ ” ว่าจะถูกเปิดเผยความลับ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และ “ (อดีต) ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดพิจิตร” ( สีกากอล์ฟ หลอกลวง อดีตผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ จังหวัดพิจิตรว่าป่วยเพื่อขอยืมเงินจำนวน 400,000 บาท แลกกับการมอบหลักฐานกรณีเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรมีความสัมพันธ์กับ สีกากอล์ฟ ) ซึ่งจำเป็นที่จะต้อง “ แจ้งความร้องทุกข์” ต่อ พนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานดังกล่าว ( หาก พระ ที่ถูกหลอก , พระที่ถูกข่มขู่ ไม่แจ้งความร้องทุกข์ ก็อาจจะไม่สามารถดำเนินคดีกับ สีกากอล์ฟในความผิดฐานดังกล่าวได้ )
บทสรุป
คดี “สีกากอล์ฟ” เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของปัญหาการทุจริตในวงการศาสนา ซึ่งมีข้อหาที่หลากหลาย ตั้งแต่การทุจริตวัด การฉ้อโกง การฟอกเงิน ไปจนถึงความผิดที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ราชการและการข่มขู่บังคับผู้อื่น การดำเนินคดีอาญาในลักษณะนี้ต้องอาศัยการรวบรวมพยานหลักฐานที่หนักแน่น และกระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตาม “มาตรฐานกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินคดี”.
นอกจากนี้ คดีนี้ยังได้กระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามในสังคมเกี่ยวกับบทบาทของพระสงฆ์และความเหมาะสมทางจริยธรรม ซึ่งบางประเด็นอาจนำไปสู่การพิจารณาถึงการกำหนดความผิดทางอาญาเพิ่มเติมในอนาคต
ข้อเสนอแนะ
จากประเด็นที่ปรากฏในกรณี “สีกากอล์ฟ” ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะได้ดังนี้:
(1) เสริมสร้างความโปร่งใสในองค์กรศาสนา : ควรมีการ “ ส่งเสริมกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุล” ในวัดและองค์กรศาสนาต่าง ๆ เพื่อป้องกันการทุจริตและสร้างความมั่นใจให้แก่สาธารณชนผู้บริจาค.
(2) ให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชนและ พระสงฆ์ :
(3) พิจารณาความชัดเจนทางกฎหมายสำหรับประเด็นที่อ่อนไหว : สำหรับประเด็นที่ว่า
” พระ กับ สีกา เสพเมถุน ควรมีความผิดทางอาญาหรือไม่ ? ”
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับ จารีตประเพณี วินัยสงฆ์ และกฎหมายอาญา
ภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องควรพิจารณาศึกษาและให้ความชัดเจนทางกฎหมาย หรือ ส่งเสริม การรับรู้เกี่ยวกับ “ ผลทางวินัยสงฆ์” และ “จริยธรรม” ที่เข้มงวด เพื่อรักษาความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน.
(4) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง : กรณีทุจริตวัดและประเด็นฟอกเงินที่ซับซ้อน เน้นย้ำ
ความจำเป็นในการ “ บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและฟอกเงิน” อย่างจริงจัง เพื่อสร้างความยุติธรรมและป้องปรามผู้ที่คิดจะแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากกิจการทางศาสนา.
*นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษา การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิ
มนุษยชน ( คนที่สอง ) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
สภาผู้แทนราษฎร ( สมัยที่ 25)