back to top
31.7 C
Samut Prakan
Thursday, September 18, 2025
spot_img

ข่าวใหม่ล่าสุด

spot_img

Daily Times Online *บทความทางกฎหมาย โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ *

บทความทางกฎหมาย โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ *

เรื่อง คดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว : “ศรีสุวรรณ – เจ๋ง ดอกจิก” ข้อหา คำพิพากษา และ ประเด็นอุทธรณ์ที่สังคมต้องจับตา

คดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว ซึ่งมีนักเคลื่อนไหวชื่อดังอย่าง พี่ศรี (นายศรีสุวรรณ ฯ ) และ พี่เจ๋ง (นายยศวริศ ฯ หรือ “เจ๋ง ดอกจิก”) อดีตแกนนำเสื้อแดง เป็นจำเลย ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ผ่านมาไม่เพียงแต่ชี้ชะตากรรมของจำเลยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปราบปรามการทุจริตและสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญ

ข้อหาและคำให้การของจำเลย : การรีดทรัพย์ที่ถูกปฏิเสธ

คดีนี้ พนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายยศวริศ ฯ หรือเจ๋ง ดอกจิก (จำเลยที่ 1), นายศรีสุวรรณ ฯ (จำเลยที่ 2), นางสาว พ. ฯ (จำเลยที่ 3), นาย อ.ฯ (จำเลยที่ 4) และ นาง ณ. (จำเลยที่ 5) ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่ 2. ต่อ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท. 182/2567 ในข้อหา “เรียกรับทรัพย์สินจาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท ก่อนต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกร้องเรียน”

มาดู “ฐานความผิด” ของจำเลยทั้งห้า ที่ถูกฟ้องต่อศาล :

จำเลยที่ 1 (นายยศวริศฯ ) ถูกฟ้องในความผิดฐาน “ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” และฐาน “ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ รวมถึงเป็น เจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ” ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง, 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173

จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 (นายศรีสุวรรณฯ , นางสาว พ. ฯ , นาย อ.ฯ และนาง ณ. ฯ ) แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่การกระทำของพวกเขานั้นศาลเห็นว่าเป็นการ “ ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก” แก่จำเลยที่ 1 ในการทำผิด จึงต้องรับผิดฐานเป็น “ผู้สนับสนุน” การกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง, 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86

จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวอ้างว่า คดีนี้เป็น“คดีการเมือง ” ที่มีผู้มีอำนาจต้องการ “เตะตัดขา” ตน และมองว่ามีการใช้เทคนิค “ล่อให้กระทำความผิด” เช่น การนำถุงเงินไปแขวนหน้าบ้าน

คราวนี้มาดู คำพิพากษาของศาลชั้นต้น :

ศาลได้พิเคราะห์ “คำเบิกความ” และ “พยานหลักฐาน” ของทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว และเห็นว่า มีพยานหลักฐานที่แน่นหนาและน่าเชื่อถือ ที่บ่งชี้ว่า จำเลยทั้งหมดกระทำความผิดจริงตามฟ้อง และ ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พยานหลักฐานสำคัญที่ศาลใช้ในการพิจารณา ได้แก่:

1. หลักฐานการ “เรียกรับ” ทรัพย์สิน : ศาลมีหลักฐานเป็น คลิปเสียง, คลิปภาพ, ข้อความแชทในแอปพลิเคชัน LINE และ หมายเลขธนบัตร ที่นำไปมอบให้ จำเลยที่ 2. (นายศรีสุวรรณฯ) ที่บ้านพัก ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ภรรยาของอธิบดีกรมการข้าวเบิกจากธนาคารมาเพื่อเป็นหลักฐานในการส่งมอบเงิน

2. คลิปบันทึกภาพและเสียง รวม 40 คลิป : จากภรรยาของผู้เสียหาย ซึ่งศาลได้ส่งตรวจพิสูจน์แล้วพบว่า “ ไม่มีการตัดต่อ” และ จำเลยที่ 1-3 ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คลิปและภาพดังกล่าว

ลำดับเหตุการณ์ที่สอดคล้อง : คลิปและภาพดังกล่าวแสดงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอนที่สอดคล้องกับการเบิกความของผู้เสียหายและภรรยา จึงมีน้ำหนักรับฟังและน่าเชื่อถือ

พฤติการณ์ที่สื่อแสดงว่า จำเลยที่ 1 – ที่ 5 “ ร่วมกันกระทำความผิด” :

– จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 แถลงข่าวที่รัฐสภาว่า “ กรมการข้าวมีการทุจริต”

– มีการโทรศัพท์กลับไปหาผู้เสียหายเพื่อจูงใจให้ยอมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง

– จำเลยที่ 3 โทรหา ภรรยาผู้เสียหายเพื่อเรียกเงิน โดยมีการต่อรองจนเหลือ 1.5 ล้านบาท

– มีหลักฐานจากบทสนทนาในแอปพลิเคชัน LINE เกี่ยวกับการนัดหมายและเรียกรับเงินหลายครั้ง ซึ่งเชื่อมโยงจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 รวมถึงหลักฐานการ โอนเงิน

– ในวันที่ 26 มกราคม 2567 ภรรยาผู้เสียหายได้นำเงิน 5 แสนบาทใส่ถุงพลาสติกไปแขวนไว้ ที่หน้าประตูบ้านจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ได้นำถุงกลับเข้ามาในบ้านโดยหยิบใส่ถุงพลาสติกสีดำในลักษณะปกปิด ซึ่งศาลเห็นว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 5 ทราบว่า เงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร

จากพฤติการณ์ของจำเลยทั้งห้าดังกล่าว ศาลจึงเห็นว่าเป็นการ “ ร่วมกัน” กระทำความผิดโดย “ แบ่งงานแบ่งหน้าที่กันทำ”

บทลงโทษที่ศาลตัดสิน:

• จำเลยที่ 1 (นายยศวริศ ฯ ) จำคุกมีกำหนด 6 ปี และเมื่อรวมโทษจำคุกในคดีคาร์ม็อบอีก 2 คดี ทำให้มีโทษจำคุก รวม 6 ปี 4 เดือน

• จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 (นายศรีสุวรรณ ฯ , นางสาว พ. ฯ , นาย อ.ฯ และนาง ณ. ฯ ) จำคุกคนละ 4 ปี นอกจากนี้ ศาลยังสั่งให้ “ ริบเงิน 160,000 บาท” ที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิด และให้จำเลยทั้งห้าร่วมชำระดอกเบี้ยหากไม่ชำระเงินดังกล่าว และต่อมาศาลได้อนุญาตให้จำเลยทั้งห้าได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยวางหลักทรัพย์คนละ 6 แสนบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ

ประเด็นอุทธรณ์ของจำเลย : การต่อสู้ของจำเลยในชั้นศาลสูง

แม้ศาลชั้นต้นจะตัดสินว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามฐานความผิดดังกล่าว แต่จำเลยทั้งห้าต่าง ให้การปฏิเสธ และ ( ตามข่าว ) จำเลยจะใช้สิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์ โดยมีประเด็นหลักในการต่อสู้ดังนี้ :

– จำเลยที่ 2. (นายศรีสุวรรณฯ) : ยังคงยืนยันว่าเป็น “คดีการเมือง” และเชื่อว่ามีการ “ล่อให้

กระทำความผิด” และตั้งข้อสังเกตว่า พยานหลักฐานที่ตำรวจรวบรวมมานั้นเป็นของฝ่ายตำรวจทั้งหมด และศาลไม่ได้นำข้อเท็จจริงในส่วนของตนมาพิจารณา จึงเชื่อว่า ศาลอุทธรณ์จะพิจารณาข้อเท็จจริง อีกครั้ง

– จำเลยที่ 1. ( นายยศวริศ ฯ ) : ประเด็นที่จำเลยที่ 1. จะอุทธรณ์ คือ สถานะการเป็น “ เจ้าหน้าที่รัฐ” โดยจำเลยที่ 1. (นายยศวริศ) เห็นว่า ตนเองไม่ได้เป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” เนื่องจากการ แต่งตั้งโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้นเป็น “ การแต่งตั้งเฉพาะตัว” และ “ไม่ได้รับเงินเดือน” หากศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 1.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ก็อาจส่งผลต่อบทลงโทษของศาลก็ได้

นอกจากนี้ ยังมีประเด็น จำเลยที่ 1. (นายยศวริศ ฯ) ต่อสู้ว่า “ ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือความ เชื่อมโยงกับจำเลยที่เหลือ และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ”

คดีนี้ เกี่ยวข้องกับ “ความผิดทางอาญา” หลายฐาน ซึ่งมีประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ :

1. ความผิดฐาน “ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์” (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 337 ) :

◦ มาตรา 309 วรรคสอง “ ผู้ใด ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือจำยอมต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของบุคคลที่สาม ถ้าความผิดนั้นได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ต้องระวางโทษหนักขึ้น ในคดีนี้ จำเลยมีถึง 5 คน จึงเข้าข่ายโทษที่หนักขึ้น

◦ มาตรา 337 วรรคแรก “ ผู้ใด ข่มขืนใจให้ผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพยสิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สาม เพื่อให้ผู้ถูกขู่เข็ญยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการกระทำที่ “ มุ่งหวังผลประโยชน์ในทรัพย์สินโดยมิชอบ”

◦ มาตรา 83 (ตัวการร่วม ): ถ้าการกระทำความผิดใดมีคน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป เป็นผู้กระทำความผิดด้วยกัน ผู้ที่ได้กระทำความผิดแต่ละคนเป็น “ ตัวการ”

2. ความผิดฐาน “ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ” (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และ 173):

◦ มาตรา 172 : “ เจ้าพนักงานของรัฐ” ผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

◦ มาตรา 173 : “ เจ้าพนักงานของรัฐ” ผู้ใด เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่

◦ ประเด็นสำคัญคือ สถานการณ์เป็น “เจ้าพนักงานของรัฐ ” :

คดีนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1. ( นายยศวริศ ฯ) ซึ่งเป็นคณะทำงานตรวจราชการที่ 11 และได้รับมอบอำนาจทางปกครอง ถือเป็น “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” การวินิจฉัยนี้ส่งผลให้ จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษในฐานความผิดที่หนักขึ้น อันเนื่องจากการเป็น “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ดังกล่าว

ส่วน จำเลยที่ 2 – ที่ 5 แม้จะไม่ได้มีฐานะ “ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ” แต่ต้องรับผิดในฐานะ ” ผู้สนับสนุน” การกระทำความผิดของเจ้าพนักงานของรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

ประเด็นนี้ หากต่อมา ศาลอุทธรณ์มีความเห็นแตกต่างจากศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1. ไม่ได้เป็น “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” อาจส่งผลกระทบต่อ ทั้งบทลงโทษและภาพรวมของคดี

สังคมไทยได้อะไรจากเรื่องนี้?

“ คดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว” เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายมิติ :

1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค : คดีนี้ตอกย้ำหลักการว่า ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสาธารณะ นักเคลื่อนไหว หรือผู้ที่เคยมีบทบาทในการตรวจสอบ การที่ศาลตัดสินจากพยานหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้

2. สร้างบรรทัดฐานในการตรวจสอบการทุจริต : คดีนี้เป็น บรรทัดฐานสำคัญ ในการปราบปรามการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่อ้างตนเป็น “นักตรวจสอบ” มันส่งสัญญาณว่า การทำหน้าที่ตรวจสอบจะต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ ความสุจริต” และ “ ความโปร่งใส” ไม่ใช่ เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือ ใช้เป็นเครื่องมือในการรีดไถ

3. ส่งเสริมความโปร่งใสและธรรมาภิบาล : คดีนี้กระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นที่ ทั้ง “ เจ้าหน้าที่รัฐ” และ “ ผู้ที่มาทำหน้าที่ตรวจสอบ” ต้องมีความโปร่งใส และสามารถถูกตรวจสอบได้เช่นกัน

“ การมีหลักฐานที่แน่นหนาในคดีนี้ เช่น คลิปเสียง คลิปภาพ และข้อความแชท LINE เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้เทคโนโลยีในการสร้างความโปร่งใสและเป็นหลักฐานในการเอาผิด”

3. ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม : แม้จำเลยจะโต้แย้งว่าเป็นคดีการเมืองหรือมีการล่อให้กระทำความผิด แต่ศาลได้พิจารณาจากพยานหลักฐานที่ครบถ้วน การตัดสินที่หนักแน่นจากศาลชั้นต้นนี้ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า กระบวนการยุติธรรมสามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระและยุติธรรมในการต่อสู้กับการทุจริต

4. การตระหนักถึงภัยของการ “รีดไถ” ในรูปแบบใหม่ : คดีนี้เผยให้เห็นถึงรูปแบบการเรียกรับผลประโยชน์ที่อาจแอบแฝงมากับการทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมต้องเฝ้าระวังและทำความเข้าใจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

กล่าวโดยสรุปแล้ว คดีนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพิจารณาคดีอาญา แต่เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับสังคมไทยในการสร้างมาตรฐานการกำกับดูแล การตรวจสอบ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อให้ระบบราชการและสังคมโดยรวมปราศจากการทุจริตและการใช้อำนาจโดยมิชอบ

• นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ

(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ( คนที่สอง ) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในสภาผู้แทนราษฎร ( สมัยที่ 25)

18 กันยายน 2568

เพิ่มเพื่อน Line Official

spot_img

ข่าวใหม่ล่าสุด

ข่าวเด็ด ห้ามพลาด