บทความวิเคราะห์ทางกฎหมาย: มุมมองต่อคำพิพากษาคดี “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์” (บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด) โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาของศาลอาญาในคดี พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อทย.582/2567 “ ให้จำคุก “ป๋าเบียร์”และ “แม่ตั๊ก” (จำเลยที่ 2 และที่ 3) คนละ 20 ปี และปรับ คนละ 675,000 บาท พร้อมกับสั่งปรับ บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด (จำเลยที่ 1) เป็นเงิน 675,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี คุมประพฤติ โดยห้ามทำผิดแบบเดิมอีก ในความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน” และความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นคดีที่สะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดต่อการประกอบธุรกิจที่ใช้การโฆษณาเกินจริง และการทำธุรกิจขายตรงที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และการตลาดแบบตรงเติบโตอย่างรวดเร็ว
(1.) การวิเคราะห์ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
คดีนี้จำเลยทั้งสามถูกฟ้องในหลายฐานความผิดที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการกระทำผิดในรูปแบบธุรกิจสมัยใหม่ บทกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามที่ปรากฏในคำพิพากษา ได้แก่:
ก. ฐานความผิด “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ” (ประมวลกฎหมายอาญา): ความผิดฐานนี้ถือเป็นความผิดหลักที่มีจำนวนกระทงความผิดสูงที่สุด โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิด รวม 60 กระทง ให้ปรับบริษัทฯ จำเลยที่ 1 กระทงละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 600,000 บาท และสั่งจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 6 เดือน และปรับ คนละ 10,000 บาท ซึ่งส่งผลให้จำเลย ที่ 2 และ 3 ถูกลงโทษจำคุกรวมคนละ 360 เดือน (ก่อนที่จะมีการจำกัดโทษสูงสุด เป็นจำคุกคนละ 20 ปี ) และปรับคนละ 600,000 บาท การฉ้อโกงประชาชนเกิดขึ้นเมื่อจำเลยมีการ กล่าวอ้างในการขายสินค้าว่า “ ทองคำมีค่าปริมาณทองคำในอัตราร้อยละ 99.99 ” และ “ มีของแถมเป็นทองคำ” แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ส่วนประกอบอื่น ๆ ที่นำมาต่อเชื่อมกับตัวทองคำ มีค่าปริมาณทองคำเพียงร้อยละ 71-73 เศษ แม้ทองคำของกลางจะไม่ใช่ทองคำปลอม หรือ ด้อยคุณภาพ แต่เป็นการ “ กล่าวอ้างเกินจริง” และทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดก็เข้าข่ายความผิดฐานนี้ได้
ข. ความผิดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค:
1. ฐาน “ ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค” : การกล่าวอ้างเกินจริงหรือเป็นเท็จเกี่ยวกับสภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญของสินค้า ในคดีนี้คือ การกล่าวอ้างเรื่องปริมาณทองคำ ศาลสั่งปรับบริษัทฯ จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 25,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 1 เดือน 15 วัน พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท
2. ฐาน “ ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ไม่ถูกต้อง” : เป็นการละเลยต่อหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค ศาลลงโทษปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 25,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 1 เดือน 15 วัน พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท
ค. ความผิดต่อพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง:
1. ฐาน “ ร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต” : แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจขายตรงที่แพร่หลายนั้นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายเฉพาะ ศาลปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 25,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 3 เดือน พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท
เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว เป็นปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 675,000 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 20 ปี และปรับคนละ 675,000 บาท
ภายหลังจำเลยทั้งสามสำนึกผิด จึงออกประกาศรับคืนสินค้าที่ขายไปดังกล่าว ซึ่งมีผู้คืนสินค้ารวม 3,929 ราย มูลค่า 82,709,747 บาท และจำเลยทั้งสามได้รับและคืนเงินเต็มจำนวนแก่ผู้ซื้อแล้ว 1,610 ราย เป็นเงิน 57,023,860 บาท
นอกจากนี้จำเลยทั้งสามยัง “ วางเงินต่อศาลเพื่อคืนให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 36 ราย เต็มจำนวน”ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แล้ว ถือได้ว่าจำเลยทั้งสาม “สำนึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย” ให้แก่ผู้เสียหายและผู้ซื้อสินค้าดังกล่าว อีกทั้งจำเลยที่ 2-3 ถูกคุมขังในระหว่างสอบสวนเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว เชื่อว่าจำเลยที่ 2-3 จะเข็ดหลาบ ไม่กระทำความผิดเช่นนี้อีก อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2-3 กระทำความผิดใดมาก่อน เห็นควรให้โอกาสจำเลยที่ 2-3 กลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี และให้คุมความประพฤติภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 2 ครั้ง ให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ คนละ 30 ชั่วโมง ห้ามจำเลยที่ 2-3 กระทำการใดที่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายลักษณะเดียวกับการกระทำความผิดคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
(2.) แง่คิดและมุมมองทางกฎหมายจากคำพิพากษา
มุมมองด้านความรับผิดแบบหลายมิติ :
คดีนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตลาดแบบตรงและสินค้าที่ละเอียดอ่อน (เช่น ทองคำ) จะต้องเผชิญกับความรับผิดภายใต้กฎหมายหลายฉบับพร้อมกัน (พ.ร.บ. ขายตรง, พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค และ ป.อาญา) แม้ว่า ทองคำที่ขายจะมีทองคำอยู่จริง ( ไม่ใช่ทองปลอม ) แต่การที่จำเลยกล่าวอ้างในลักษณะที่ทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณภาพหรือปริมาณก็เพียงพอที่จะเข้าข่าย “การฉ้อโกงประชาชน” ได้ เนื่องจากเป็นการหลอกลวงที่ส่งผลกระทบต่อคนหมู่มาก
การพิจารณาเหตุบรรเทาโทษ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56) :
แม้ว่า โทษจำคุกรวมที่คำนวณตามกระทงความผิดจะสูงถึง 360 เดือน ( คงจำคุกได้เพียง 20 ปี) แต่ศาลกลับพิพากษาให้ “ รอการลงโทษจำคุกไว้ 5 ปี ”
แง่คิดทางกฎหมายที่สำคัญคือ “ ศาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการที่จำเลยได้ สำนึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย อย่างเป็นรูปธรรม”
จำเลยได้ประกาศรับซื้อคืนสินค้าและดำเนินการคืนเงินแก่ผู้ซื้อจำนวนมาก ( คืนเงินเต็มจำนวนให้ผู้ซื้อ 1,610 ราย เป็นเงินกว่า 57 ล้านบาท จากมูลค่าสินค้ารวมกว่า 82 ล้านบาทที่รับคืน )
จำเลยยังวางเงินต่อศาลเพื่อคืนให้แก่ผู้เสียหายในคดีนี้ครบถ้วนตามคำขอของโจทก์
การที่จำเลยได้ชดใช้เยียวยาความเสียหายจำนวนมากเช่นนี้ และมีการแสดงออกถึงความสำนึกผิด ประกอบกับการไม่เคยกระทำความผิดใดมาก่อน และถูกคุมขังระหว่างสอบสวนมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยจะเข็ดหลาบ ดังนั้น ศาลจึงให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โดยการรอการลงโทษจำคุกไว้ 5 ปี ( ทั้งที่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี )
(3.) ประชาชนได้อะไรจากเรื่องนี้
คำพิพากษานี้มอบประโยชน์และแง่คิดสำคัญหลายประการแก่สาธารณชน :
ก. การยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค : ประชาชนได้รับการยืนยันว่า กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมีผลบังคับใช้จริงจัง แม้ในกรณีที่สินค้าไม่ได้ “ปลอม” โดยสิ้นเชิง แต่การใช้ข้อความโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมและเกินความจริงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ก็ยังเป็นความผิดร้ายแรงภายใต้กฎหมายอาญา (ฉ้อโกงประชาชน) และ กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค คำพิพากษาเน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการต้องมีความซื่อสัตย์ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพและปริมาณของสินค้าอย่างแม่นยำ
ข. กลไกการเยียวยาความเสียหายที่มีประสิทธิภาพ : คดีนี้แสดงให้เห็นว่า การชดใช้ความเสียหายแก่ผู้เสียหายอย่างรวดเร็วและเต็มจำนวน สามารถนำมาประกอบการพิจารณาโทษของศาลได้ การที่จำเลยได้ดำเนินการรับคืนสินค้าและคืนเงินจำนวนมหาศาล และวางเงินต่อศาลเพื่อชดใช้แก่ผู้เสียหายตามฟ้อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ศาลใช้ดุลยพินิจในการรอการลงโทษ สิ่งนี้เป็นสัญญาณบวกแก่ผู้เสียหายรายอื่น ๆ ในกรณีที่ต้องเผชิญกับการฉ้อโกง ว่า การรวมตัวกันเพื่อฟ้องคดีและเรียกร้องการเยียวยาอาจนำไปสู่การบรรเทาผลร้ายได้จริง
ค. การสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมของธุรกิจ : แม้ศาลจะรอการลงโทษ แต่โทษจำคุก 20 ปี และการปรับเงินจำนวนมาก ก็เป็นเครื่องเตือนใจแก่ผู้ประกอบธุรกิจว่า การหาประโยชน์โดยการบิดเบือนข้อมูลและการทำธุรกิจโดยไม่ขออนุญาตที่ถูกต้องตาม พ.ร.บ. ขายตรงฯ มีบทลงโทษที่รุนแรง นอกจากนี้ การกำหนดเงื่อนไขห้ามกระทำการใดที่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายลักษณะเดียวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ ในช่วงระหว่างรอการลงโทษ 5 ปี ยังเป็นการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมทางธุรกิจให้สูงขึ้นอีกด้วย
* นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด 1.
(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน (คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ( สมัยที่ 25)
8 ตุลาคม 2568