บทความทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ เรื่อง ขับรถชนคนตาย จ่ายตังค์ ใครว่า…ไม่ติดคุก
ในสังคมปัจจุบัน หลายคนมีความเข้าใจผิดคิดว่า หากขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายแล้ว “จ่ายค่าเสียหายแล้วจบ” หรือ “จ่ายค่าสินไหมทดแทนสูง ๆ” ก็จะสามารถรอดพ้นจากการถูกจำคุก หรือได้รับ “การรอลงอาญา” ได้อย่างแน่นอน บทความนี้จะวิเคราะห์หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใดในหลายกรณี ศาลจึงยังคงมีคำพิพากษาให้จำคุกโดยไม่รอการลงโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีพฤติการณ์ร้ายแรง เช่น การเมาสุราและการหลบหนี
เมื่อเร็วเร็วนี้ มีข่าวศาลจังหวัดชุมพร พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ( หญิงขับรถบีเอ็มชน 3 แม่ลูก ที่จังหวัดชุมพร) มีกำหนด 9 ปี 2 เดือน จำเลยรับสารภาพ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 4 ปี 7 เดือน โดยไม่รอลงโทษจำคุก แม้ว่าจะมีการตกลงกันได้โดยจำเลยยินยอมชดให้และเยียวยาเป็นเงินจำนวน 5.5 ล้าน ผ่อนชำระภายใน 8 ปี แล้วก็ตาม
อะไร ? คือเหตุผลที่ศาลไม่รอการลงโทษจำคุก ทั้งที่มีการชดใช้เยียวยา
คดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดชุมพรเป็นโจทก์ สามีและบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายทั้งสามเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงินรวม 24,205,000 บาท
ต่อมาจำเลยให้การรับสารภาพ จำเลยและโจทก์ร่วม สามารถตกลงกันได้โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหาย ให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท ผ่อนชำระให้แล้วเสร็จภายใน ๘ ปี
คดีนี้ เดิมจำเลยให้การปฏิเสธบางข้อหาโดยอ้างว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทร่วม แต่ต่อมาจำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์
หลังเกิดเหตุบริษัท ฟ……. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยขับ ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมแล้วเป็นเงินจำนวน 4,500,000 บาท
คดีนี้ศาลจังหวัดชุมพร ได้สั่งให้พนักงานคุมประพฤติกระทรวงยุติธรรม สืบเสาะและพินิจจำเลย ก่อนมีคำพิพากษา
ศาลจังหวัดชุมพรพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ( 2 ) ( 4 ) ( 8 ), 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 78 วรรคหนึ่ง, 157, 157/1 วรรคสองและวรรคห้า, 158/1 วรรคสอง, 160 วรรคหนึ่ง, 160 ตรี วรรคสี่ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง, 64 ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน, ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ฐานขับรถโดยประมาท, ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ฐานขับรถในลักษณะที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น, ฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
แต่ความผิดฐาน เป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นบทหนักมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐาน “ ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” จำคุก 6 ปี ให้เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 ตรี/2 วรรคสองด้วย เป็นจำคุก 9 ปี, ฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแล้วไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ให้จำคุก 2 เดือน, ฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ ให้ปรับ 1,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน, ฐานขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแล้วไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจคงจำคุก 1 เดือน, ฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตคงปรับ 500 บาท
รวมจำคุก 4 ปี 7 เดือน ( โดยไม่รอการลงโทษจำคุก) และปรับ 500 บาท
มาดูเหตุผลของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย โดยไม่รอการลงโทษจำคุก
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้วเห็นว่าภายหลังเกิดเหตุจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ร่วมแล้วเป็นเงิน 650,000 บาท แม้เป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่โจทก์ร่วมได้รับ แต่การที่จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ร่วม 5,500,000 บาท ถือได้ว่าจำเลยได้พยายามบรรเทาความเสียหายให้แก่โจทก์ร่วม ซึ่งนับเป็นการรู้สำนึกในการกระทำผิด จึงได้นำมาประกอบการกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
แต่การที่จำเลย “ ขับรถด้วยความประมาท ใช้ความเร็วสูง ทั้งเป็นการขับในขณะเมาสุรากับมีสารเสพติดเมทแอมเฟตามีนอยู่ในร่างกาย” อันเป็นการขาดจิตสำนึกและขาดความรับผิดชอบต่อผู้ร่วมใช้ถนน จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตทำให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายถึง 3 คน
นอกจากนี้ ภายหลังเกิดเหตุจำเลยยังหลบหนี ไม่หยุดให้การช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อจพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียง พฤติการณ์แห่งคดีนับเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย สั่งริบของกลางคือรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูหมายเลขทะเบียน ………นครศรีธรรมราช
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว เนื่องจากคดีนี้ศาลลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ จำเลยจึงใช้สิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ศาลจังหวัดชุมพร “อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว” ได้ โดยมีเงื่อนไข ให้จำเลยติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับติดตามตัว (EM) กำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หากมีการเปลี่ยนหรือย้ายที่อยู่อาศัยต้องแจ้งให้ศาลทราบ และให้เรียกหลักประกันวงเงิน 150,000 บาท
คำพิพากษาศาลจังหวัดชุมพรดังกล่าว จะเห็นได้ว่า
1.. การชำระค่าสินไหมทดแทน (จ่ายตังค์) ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ติดคุกเสมอไป
ในทางกฎหมายอาญา การชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายและครอบครัว เป็นการดำเนินการในส่วนของความรับผิดทางแพ่ง และเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาโทษทางอาญา
ตามหลักกฎหมายอาญา (มาตรา 78) เมื่อปรากฏว่ามี เหตุบรรเทาโทษ ศาลอาจลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงได้ โดยหนึ่งในเหตุบรรเทาโทษที่สำคัญตามมาตรา 78 วรรคสอง คือ ” รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น”
การชำระค่าสินไหมทดแทน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการ “พยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด” การที่ผู้กระทำความผิดแสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวผู้เสียหายนี้ ย่อมเป็นผลดีต่อการพิจารณาของศาลอย่างแน่นอน
แต่เหตุใด ศาลจึงยังคงไม่รอการลงโทษจำคุก ?
แม้การชำระเงินจะเป็นเหตุบรรเทาโทษดังที่กล่าวแล้ว แต่การพิจารณาว่าจะมีการ “รอการลงโทษ” (หรือรอลงอาญา) หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจของศาล โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงทั้งหมดในคดี ถ้าการกระทำความผิดนั้นมีลักษณะที่ร้ายแรงมาก หรือพฤติการณ์ของผู้กระทำความผิดหลังก่อเหตุเป็นไปในทางที่ไม่เหมาะสม ศาลก็อาจตัดสินว่าโทษจำคุกที่กำหนดไว้สมควรต้องบังคับใช้ทันที
การที่ศาลไม่รอการลงโทษ มักเกิดจากเหตุผลที่ว่า “ การเยียวยาทางแพ่งไม่สามารถ ลบล้างความเสียหายต่อสาธารณะที่เกิดจากการกระทำความผิดอาญาที่ร้ายแรง” ได้ ความผิดฐานประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ซึ่งเป็นความผิดที่เกิดจากการกระทำโดยประมาท) ถือเป็นความผิดที่มีผลร้ายแรงที่สุดต่อชีวิตของผู้อื่น
2. กรณีขับรถขณะเมาสุรา และหลบหนีไม่แจ้งเหตุ มีผลต่อคำพิพากษาของศาลหรือไม่?
พฤติการณ์เหล่านี้มีผลกระทบอย่างยิ่งต่อดุลยพินิจของศาลในการพิจารณาให้ “รอการลงโทษจำคุก ” เพราะถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ความประมาทเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งขึ้น และแสดงถึงเจตนาที่ไม่ดีภายหลังเกิดเหตุ
2.1 ผลของการขับรถขณะเมาสุรา
โดยทั่วไป กฎหมายอาญากำหนดไว้ชัดเจนว่า ความมึนเมาเพราะเสพสุราหรือสิ่งเมาอย่างอื่น จะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นจากความรับผิดชอบตามมาตรา 65 ไม่ได้ เว้นแต่ความมึนเมานั้นเกิดขึ้นโดยผู้เสพไม่รู้ หรือถูกขืนใจให้เสพ
ในทางปฏิบัติ การขับรถขณะเมาสุรา ถือเป็นความประมาทอย่างร้ายแรง ที่เป็นการจงใจทำให้ตนเองอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการกระทำได้ตามวิสัยและพฤติการณ์ที่ควรจะมี
– ตอกย้ำความประมาท : แม้ความผิดฐานขับรถชนคนตายจะเป็นความผิดที่กระทำโดย “ประมาท” แต่การเมาสุราเป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึง การขาดความรับผิดชอบต่อสังคมโดยสิ้นเชิง ซึ่งศาลจะต้องนำมาพิจารณาประกอบการลงโทษ
2.2 ผลของการหลบหนีไม่แจ้งเหตุ (Hit-and-Run)
พฤติการณ์การหลบหนีหลังเกิดเหตุมีผลลบอย่างรุนแรงต่อการพิจารณาของศาล เพราะเป็นการแสดงออกถึง ความขาดความรับผิดชอบและการไม่สำนึกผิด
ตามมาตรา 78 วรรคสอง ของประมวลกฎหมายอาญา “ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน” (ยอมมอบตัวหรือรับสารภาพ) เป็นหนึ่งในเหตุบรรเทาโทษ แต่การหลบหนีกลับเป็นการกระทำที่ ตรงกันข้าม กับการลุแก่โทษ การไม่แจ้งเหตุและปล่อยให้ผู้บาดเจ็บ (หรือผู้ตาย) อยู่ในที่เกิดเหตุโดยไม่มีการช่วยเหลือ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร้ายแรงของจิตใจผู้กระทำความผิด
ดังนั้น เมื่อมีพฤติการณ์ เมาสุรา (ซึ่งเป็นความประมาทอย่างร้ายแรง) และ หลบหนี (ซึ่งแสดงถึงการไม่สำนึกผิด) พฤติการณ์เหล่านี้ย่อมมีน้ำหนักเหนือกว่าการพยายามชดใช้ค่าเสียหายในภายหลัง ทำให้ศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิด ไม่สมควรได้รับการรอการลงโทษ เพราะการกระทำนั้นกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นภัยต่อสังคมอย่างชัดเจน
คดีนี้ให้ประโยชน์อะไรแก่สังคม?
1. ยกระดับความรับผิดชอบทางอาญา: คำพิพากษาทำลายความเชื่อที่ว่า “เงินซื้อความยุติธรรมได้” โดยเน้นย้ำว่าความผิดอาญา โดยเฉพาะที่ส่งผลกระทบถึงชีวิตและร่างกายของผู้อื่นอย่างร้ายแรง (เช่น การตาย) ย่อมต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมาย เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย
2. ป้องกันการกระทำผิดซ้ำ: การลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังสาธารณชนว่า การขับขี่ภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์ และการหลบหนีความรับผิดชอบ จะไม่ได้รับการผ่อนปรนจากศาล ซึ่งเป็นการยับยั้งผู้ที่อาจคิดจะกระทำความผิดในลักษณะเดียวกัน (General Deterrence)
3. สร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรม: การปฏิเสธการรอลงอาญาในคดีที่มีปัจจัยร้ายแรงเช่นนี้ เป็นการเน้นย้ำถึงหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Accountability) โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการกระทำที่ส่งผลให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
บทสรุป
หลักกฎหมายได้เปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดที่สำนึกผิดและบรรเทาผลร้ายได้รับประโยชน์ในการลดโทษหรือการรอลงอาญา แต่การชำระเงินค่าสินไหมทดแทนเปรียบเสมือนการเติมน้ำดี ลงในภาชนะ ในขณะที่ การเมาสุราขับรถและการหลบหนีเปรียบเสมือนการมีสารพิษอยู่ในภาชนะนั้นแล้ว พฤติกรรมที่ร้ายแรงและขาดความสำนึกผิดหลังก่อเหตุ (เช่น การหลบหนี) ย่อมทำให้ดุลยพินิจของศาลพิจารณาว่า ผู้กระทำความผิดยังไม่สมควรได้รับความเมตตาในการรอลงอาญา การลงโทษจำคุกในที่สุดจึงเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เพื่อให้เกิดความยุติธรรมทั้งต่อผู้สูญเสียและต่อความปลอดภัยของสังคมโดยรวม
ปล : บทความทางกฎหมายเรื่องนี้ เป็นความเห็นทางกฎหมายส่วนบุคคลของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องและไม่ผูกพันองค์กรอัยการแต่อย่างใด
• นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด 1.
(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ( คนที่สอง) ในคณะกรรมการธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ( สมัยที่ 25)
7 พฤศจิกายน 2568





