ใครคือผู้คุมกติกาที่แท้จริง
ต้นปี 69 ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองอีกครั้ง เมื่อการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศกำลังเดินหน้า พร้อมกับการนับถอยหลังสู่ “การเลือกตั้งระดับชาติ” ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2569
สองสนามเลือกตั้งนี้ไม่ใช่คนละเรื่อง หากแต่เป็นสนามเดียวกันที่ใช้ “กติกาเดียวกัน” และมี “ผู้คุมเกมคนเดียวกัน” นั่นคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ในเชิงโครงสร้าง การเลือกตั้งท้องถิ่นคือกระบวนการประชาธิปไตยที่ใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด
ผู้นำท้องถิ่นไม่ได้เพียงกำหนดทิศทางชุมชน แต่ยังเป็นฐานอำนาจสำคัญของการเมืองระดับชาติ
ดังนั้น คุณภาพของการเลือกตั้งท้องถิ่นวันนี้ จึงเป็น ภาพสะท้อนความพร้อมของระบบเลือกตั้งระดับประเทศในวันหน้า
และองค์กรที่ถูกจับตามองมากที่สุดในสมรภูมินี้ ไม่ใช่ผู้สมัคร
แต่คือ “ผู้ตัดสินเกม”
สังคมกำลังถาม
วันนี้ กกต. ยังทำงานได้สมศักดิ์ศรีผู้คุมกติกาหรือไม่?
หรือความศรัทธากำลังถูกกัดกร่อนทีละน้อย จากการปฏิบัติหน้าที่ที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน และไม่กล้ายืนหยัดในจุดที่ควรยืน?
บทบาทที่ควรเป็น แต่สังคมยังไม่เห็นชัด
ตามหลักการ กกต. ต้องเป็น “กำแพงสุดท้าย” ของความยุติธรรมทางการเมือง
เป็นองค์กรที่ ไม่เอนเอียง ไม่รับใช้อิทธิพล ไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดัน และไม่แสดงพฤติกรรมใดที่ทำลายภาพลักษณ์ความเป็นกลาง
แต่ภาพที่ปรากฏในหลายพื้นที่ตลอดระยะหลัง กลับทำให้สังคมตั้งคำถามว่า
กกต. ยังคงแข็งแรงพอจะทำหน้าที่นั้นได้จริงหรือไม่
หลายกรณีที่ควร “กำกับ” กลับถูกมองว่าเป็นเพียงการ “ยืนดู”
หลายเรื่องที่ควรชี้ขาด กลับเงียบงัน
การควบคุมค่าใช้จ่ายหาเสียง การติดตามพฤติกรรมต้องห้าม
รวมถึงการเฝ้าระวังอิทธิพลท้องถิ่น ยังไม่เข้มข้นเท่าที่ประชาชนคาดหวัง
เมื่อบทบาทไม่ชัด ความศรัทธาย่อมสั่นคลอน
และคำถามที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ คือ
งบประมาณจำนวนมหาศาลที่ใช้เพื่อค้ำองค์กรกำกับเลือกตั้งระดับชาติ คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้จริงหรือไม่?
ในหลายวงสนทนา มีข้อเสนอที่สะท้อนความกังวลอย่างตรงไปตรงมา
หาก กกต. ไม่สามารถพิสูจน์
“ความเป็นกลาง ความเข้มงวด และความศักดิ์สิทธิ์ของกติกา”
วันหนึ่ง องค์กรอาจถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็นในฐานะ
ผู้กำกับการเลือกตั้งระดับประเทศ
ไม่ใช่เพราะประชาชนไม่ต้องการ กกต.
แต่เพราะศักยภาพที่ควรเป็น กลับสวนทางกับความคาดหวังมากขึ้นทุกวัน
นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษ
แต่คือ สัญญาณเตือน ว่า หากผู้คุมกติกาไม่ยืนอยู่ในสายตา
ประชาธิปไตยทั้งระบบย่อมสั่นคลอน
หาก กกต. ต้องการฟื้นความเชื่อมั่น ก่อนก้าวเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ระดับชาติ
องค์กรต้องยืนหยัดบนหลักสำคัญคือ
ความเป็นกลางต้อง “เห็นได้ชัด”
ไม่ใช่แค่เป็นกลางในใจ แต่ต้องเป็นกลางในสายตาสาธารณะ
เพียงภาพเดียวที่ดูเอนเอียง ก็เพียงพอทำลายความเชื่อมั่นทั้งระบบ
ใช้กฎหมายอย่างแข็งแรง เท่าเทียม และทั่วถึง
ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ผ่อนปรนเฉพาะราย
มาตรฐานเดียวกันต้องใช้กับทุกพื้นที่ ทุกผู้สมัคร
ทำงานเชิงรุก ไม่รอให้ปัญหาปะทุ
ลงพื้นที่จริง ตรวจสอบจริง ป้องกันก่อนเกิดปัญหา
เพราะ “ความเงียบ” ขององค์กรกำกับเลือกตั้ง ไม่เคยทำให้สังคมสบายใจ
สื่อสารอย่างโปร่งใส ทุกคำวินิจฉัยต้องอธิบายได้
ความโปร่งใสคือรากฐานของศรัทธา
ยิ่งชี้แจงช้า ยิ่งเปิดพื้นที่ให้ข้อกังขาเติบโต
กกต. จังหวัดสมุทรปราการ ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความพยายามเชิงบวก คือการขยับตัว ที่เริ่มต้นด้วยการอบรมผู้สมัครเลือกตั้ง อบต. อย่างเป็นทางการ
เป็นการชี้แจงกติกา วิธีหาเสียง ข้อห้าม ค่าใช้จ่าย และบทลงโทษอย่างตรงไปตรงมา
พื้นที่สมุทรปราการ มี อบต. ที่ต้องเลือกตั้งสมาชิก 26 แห่ง นายก อบต. 20 แห่ง เลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศ 11 มกราคม 2568
นี่คือสัญญาณว่าหาก กกต. “เลือกจะทำ” ก็สามารถสร้างบรรยากาศการเลือกตั้งที่สุภาพ เป็นธรรม และลดความขัดแย้งได้จริง
แต่คำถามสำคัญคือ
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมทั่วประเทศหรือไม่?
และจะถูกยกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกัน ในการเลือกตั้งระดับชาติเดือนกุมภาพันธ์ 2569 หรือไม่?
เมื่อการเลือกตั้งท้องถิ่นเริ่มต้นขึ้น และการเลือกตั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา
ประชาชนไม่ได้มองหาผู้สมัครที่พูดเก่งที่สุด
แต่กำลังมองหา ผู้ตัดสินที่ซื่อสัตย์และเป็นกลางที่สุด
หาก กกต. กลับมายืนในจุดที่ควรยืน
พิทักษ์กติกาอย่างเที่ยงตรง
ทุกใบคะแนนจะมีความหมาย และผลการเลือกตั้งจะเป็นที่ยอมรับ
แต่หากยังทำงานอย่างคลุมเครือ ไม่กล้ายืนหยัด
วันหนึ่งองค์กรอาจถูกตั้งคำถามถึงบทบาทในฐานะ “ผู้คุมเกมระดับชาติ”
เวลานี้ สายตาทั้งประเทศกำลังจับจ้อง
กกต. จะเลือกเส้นทางไหน?
คำตอบไม่ได้อยู่ในคำชี้แจง
แต่อยู่ที่ “การทำงานวันนี้”
ก่อนถึงสนามใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2569
ไม่แน่วันนั้นอาจเป็นแค่ กรรมการประจำหมู่บ้าน





